สายพันธุ์เด่น ๆ ของ สายพันธุ์ของ SARS-CoV-2

คลัสเตอร์ 5

ในต้นเดือนพฤศจิกายน 2020 ได้พบคลัสเตอร์โรคที่เรียกว่า คลัสเตอร์ 5 หรือเรียกว่า ΔFVI-spike โดยสถาบันเซรุ่มแห่งชาติเดนมาร์ก (Statens Serum Institut, เอสเอสไอ)[66]เกิดในเขตนอร์เทอร์นจัตแลนด์ของประเทศ โดยเชื่อว่ากระจายมาจากตัวมิงค์มายังมนุษย์ที่ฟาร์มตัวมิงค์ในวันที่ 4 เดือนเดียวกัน รัฐจึงประกาศว่าจะฆ่าตัวมิงค์ในฟาร์เพื่อป้องกันกันการกระจายตัวของสายพันธุ์นี้และลดโอกาสเสี่ยงเกิดสายพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นอีกแล้วก็ประกาศการล็อกดาวน์เขตเทศบาล 7 เขตในนอร์เทอร์นจัตแลนด์ ซึ่งเป็นห่วงว่าอาจทำให้การระบาดทั่วในประเทศหรือของโลกแย่ลงจนถึงวันที่ 5 เดือนเดียวกัน ได้พบกรณีผู้ติดโรคเนื่องกับตัวมิงค์ 214 กรณี[67]

องค์การอนามัยโลกระบุว่า คลัสเตอร์ 5 ลดตอบสนองต่อแอนติบอดีที่ทำลายฤทธิ์อย่างพอควร[68]ส่วนเอสเอสไอเตือนว่า การกลายพันธุ์นี้อาจลดฤทธิ์ของวัคซีนที่กำลังพัฒนา แม้จะไม่ทำให้ไร้ผลโดยสิ้นเชิงหลังจากที่ล็อกดาวน์แล้วตรวจคนเป็นจำนวนมาก เอสเอสไอประกาศในวันที่ 19 พฤศจิกายนว่า คลัสเตอร์ 5 น่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว[69]ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 นักวิชาการที่เอสเอสไอจึงได้ตีพิมพ์ในวารสารที่ทบทวนโดยผู้รู้เสมอกันโดยระบุว่า คลัสเตอร์ 5 ปัจจุบันไม่พบว่ายังกระจายอยู่ในมนุษย์[70]

สายพันธุ์ B.1.1.7 / Variant of Concern 20DEC-01

ภาพสีปลอมซึ่งถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องผ่าน (TEM) ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ B.1.1.7ดการเพิ่มการติดต่อของสายพันธุ์เชื่อว่า มาจากโครงสร้างโปรตีนหนาม (spike protein) ที่เปลี่ยนไป ซึ่งในภาพแสดงเป็นสีเขียว

สายพันธุ์ B.1.1.7[71] ได้ตรวจพบครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคมในสหราชอาณาจักรจากตัวอย่างที่ได้เดือนก่อนในมณฑลเคนต์[72]จัดเป็นสายพันธุ์แรกที่ระบุว่ากำลังตรวจสอบเริ่มในเดือนธันวาคม 2020 (VUI - 202012/01)[73]แล้วต่อมาเลื่อนเป็นสายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วง VOC-202012/01[9]มีชื่อเรียกอื่นว่า 20I/501Y.V1 (เดิมว่า 20B/501Y.V1)[74][75][13]ตั้งแต่นั้น ค่าความชุกโรคแบบ prevalence odds ก็เพิ่มเป็นทวีคูณทุก ๆ 6.5 วัน ซึ่งเชื่อว่าเป็นระยะเวลาที่ใช้กระจายรุ่นต่อรุ่น (generational interval)[76][77]

มันมีสหสัมพันธ์กับอัตราการติดโรคโควิดใหม่ในสหราชอาณาจักอย่างสำคัญ โดยส่วนหนึ่งกับการกลายพันธุ์แบบ N501Y ด้วย[78]มีหลักฐานบ้างว่า สายพันธุ์นี้ติดง่ายขึ้นร้อยละ 40-80 (ค่าประเมินต่าง ๆ โดยมากจะอยู่ทางด้านมาก)[79]และงานวิเคราะห์แรก ๆ ก็ระบุว่า ทำให้ถึงตายเพิ่มขึ้น[80][81]แต่งานเร็ว ๆ นี้กลับไม่พบหลักฐานว่าทำให้โรครุนแรงยิ่งขึ้น[82]จนถึงเดือนพฤษภาคม 2021 สายพันธุ์ B.1.1.7 ได้ตรวจพบในประเทศกว่า 120 ประเทศแล้ว[83]

B.1.1.7 กับการกลายพันธุ์ E484K (Variant of Concern 21FEB-02)

สายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วงคือ Variant of Concern 21FEB-02 (เคยเขียนว่า VOC-202102/02) ที่กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษอธิบายว่า เป็นสายพันธุ์ B.1.1.7 บวกกับการกลายพันธุ์ E484K[9]จนถึงวันที่ 17 มีนาคม 2021 มีกรณีคนไข้ที่ยืนยันแล้ว 39 กรณีในสหราชอาณาจักร[9]ในวันที่ 4 มีนาคม 2021 นักวิทยาศาสตร์ได้พบสายพันธุ์นี้ในรัฐออริกอนของสหรัฐในตัวอย่าง 13 ตัวอย่างที่วิเคราะห์โดยตัวอย่างหนึ่งเป็นสายพันธุ์นี้ แต่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นเองในพื้นที่ คือไม่ได้นำเข้าจากประเทศอื่น[84][85][86]

สายพันธุ์ B.1.1.207

สายพันธุ์ B.1.1.207 ได้ถอดลำดับยีนเป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2020 ในประเทศไนจีเรีย[87]การติดต่อได้และความรุนแรงของเชื้อยังไม่ชัดเจน แต่เป็นสายพันธุ์ที่จัดว่ากำลังเกิดใหม่ (emerging) โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ[13]สายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์ P681H ซึ่งเหมือนกับสายพันธุ์ B.1.1.7 ของอังกฤษแต่ก็ไม่มีการกลายพันธุ์อื่น ๆ ที่เหมือนกับ B.1.1.7 และจนถึงปลายเดือนธันวาคม 2020 สายพันธุ์นี้มีในอัตราร้อยละ 1 ในลำดับตัวอย่างที่ถอดลำดับยีนทั้งหมดในไนจีเรีย[87]จนถึงเดือนพฤษภาคม 2021 สายพันธุ์นี้ก็พบในประเทศ 10 ประเทศแล้ว[88]

สายพันธุ์ B.1.1.317

แม้สายพันธุ์ B.1.1.317 จะยังไม่จัดว่าน่าเป็นห่วง (variant of concern) แต่กระทรวงสาธารณสุของรัฐควีนส์แลนด์ (ออสเตรเลีย) ก็บังคับให้คนไข้สองคนในฮอสพิเทลเมืองบริสเบนให้อยู่กักตัวเพิ่มขึ้น 5 วันโดยบวกกับอีก 14 วันตามปกติ[89]

สายพันธุ์ B.1.1.318

พีเอชอีกำหนดสายพันธุ์ B.1.1.318 ให้เป็นสายพันธุ์ที่กำลังตรวจสอบคือ VUI-21FEB-04 (ก่อนหน้านี้เป็น VUI-202102/04)[9]เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2021จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2021 พบคนไข้ที่ติดเชื้อนี้ 16 คนแล้วในสหราชอาณาจักร[9][90]

สายพันธุ์ B.1.351

ในวันที่ 18 ธันวาคม 2020 สายพันธุ์ 501.V2 หรือ 20H/501Y.V2 (ก่อนหน้านี้ 20C/501Y.V2) หรือ VOC-20DEC-02 (ก่อนหน้านี้ VOC-202012/02) หรือ B.1.351[13]ได้พบในแอฟริกาใต้เป็นครั้งแรก[91]นักวิจัยและเจ้าหน้าที่รายงานว่า เทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ ความชุกสายพันธุ์นี้สูงกว่าในบรรดาคนอายุน้อยที่สุขภาพดี และทำให้มีอาการหนักกว่า[92][93]กระทรวงสาธารณสุขแอฟริกาใต้ยังระบุด้วยว่า สายพันธุ์นี้อาจเป็นตัวขับการระบาดทั่วรอบสองในประเทศเพราะติดต่อกันได้เร็วกว่าสายพันธุ์ก่อน ๆ[91][92]

นักวิทยาศาสตร์ให้ข้อสังเกตว่า สายพันธุ์นี้จับกับเซลล์มนุษย์ได้ดีกว่าเพราะไกลโคโปรตีนหนาม (spike glycoprotein) ของไวรัสมีการกลายพันธุ์ 3 อย่างใน receptor-binding domain (RBD) รวมทั้ง N501Y[91][94],K417N และ E484K[95][96]

สายพันธุ์ B.1.429 / CAL.20C

สายพันธุ์ B.1.429 หรือ CAL.20C มีการกลายพันธุ์พิเศษ 5 อย่าง คือ I4205V, D1183Y (ในยีน ORF1ab) และ S13I, W152C, L452R (ในโปรตีนเอสของโปรตีนหนาม) การกลายพันธุ์แบบ L452R (ซึ่งก็พบในสายพันธุ์อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกันด้วย) น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ[46][97]B.1.429 อาจติดต่อง่ายกว่า แต่ก็ต้องศึกษายิ่งขึ้นเพื่อยืนยัน[97]ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐกำหนดสายพันธุ์ B.1.429 และ B.1.427 ที่สัมพันธ์กันว่าเป็น "สายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วง" โดยอ้างอิงงานศึกษาที่ยังไม่ได้ทบทวนโดยผู้รู้เสมอกันว่า

  • เพิ่มการติดต่อโรคได้ถึงร้อยละ 20
  • มีผลต่อภูมิคุ้มกันชนิดกำจัดเชื้อในบางคน แต่ไม่ทุกคน
  • ไวน้อยลงต่อยาที่ได้อนุมัติให้ใช้รักษาหรือป้องกันโควิด
  • ลดการกำจัดเชื้อในน้ำเลือดตามที่เก็บจากคนหายป่วยหรือฉีดวัคซีน[98][99]

ในเดือนกรกฎาคม 2020 นักวิจัยในรัฐแคลิฟอร์เนีย (สหรัฐ) ได้ตรวจพบ B.1.429 เป็นครั้งแรกในตัวอย่างที่ได้จากมณฑลลอสแอนเจลิส[100]แล้วก็ไม่พบอีกจนเดือนกันยายนจากตัวอย่างที่ได้ในแคลิฟอร์เนีย โดยจำนวนที่พบก็ต่ำมากจนถึงเดือนพฤศจิกายน[101][102]แล้วจึงพบในตัวอย่างร้อยละ 36 โดยจนถึงเดือนมกราคม 2021 ก็พบสายพันธุ์นี้ในตัวอย่างเลือดร้อยละ 50 แล้ว[97]

หลังจากเพิ่มขึ้นในเบื้องต้น อัตราการติดเชื้อสายพันธุ์นี้ก็ลดลงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 เพราะสู้สายพันธุ์ B.1.1.7 ไม่ได้จนถึงเดือนเมษายน สายพันธุ์นี้ก็ยังเกิดขึ้นค่อข้างบ่อยในแคลิฟอร์เนียภาคเหนือบางส่วน แต่ก็สาบสูญไปเลยในแคลิฟอร์เนียใต้ โดยไม่ได้เกิดในภูมิภาคอื่น ๆ อย่างสม่ำเสมอการติดเชื้อร้อยละ 3.2 ในสหรัฐมีเหตุจากสายพันธุ์นี้ เทียบกับ 2/3 ที่มีเหตุจากสายพันธุ์ B.1.1.7[103]

สายพันธุ์ B.1.525

สายพันธุ์ B.1.525 หรือ VUI-21FEB-03[9](ก่อนหน้านี้ VUI-202102/03) หรือ UK1188[9]ไม่มีการกลายพันธุ์ N501Y เหมือนกับสายพันธุ์ B.1.1.7 หรือ 501.V2 หรือ P.1แต่มีการกลายพันธุ์ E484K เหมือนกับที่พบในสายพันธุ์ P.1, P.2 และ 501.V2มีการลบยีนออกแบบ ΔH69/ΔV70 (คือการลบกรดอะมิโน histidine และ valine ที่ตำแหน่ง 69 และ 70) ดังที่พบในสายพันธุ์ B.1.1.7, สายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์ N439K (B.1.141 และ B.1.258) และสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์ Y453F (คือ คลัสเตอร์ 5)[104]สายพันธุ์นี้ต่างกับสายพันธุ์อื่น ๆ ทั้งหมดก็เพราะมีทั้งการกลายพันธุ์ E484K และ F888L (คือการแทนที่ phenylalanine (F) ด้วย leucine (L) ใน S2 domain ของโปรตีนหนาม)

จนถึงต้นเดือนมีนาคม พบสายพันธุ์นี้แล้วในประเทศ 23 ประเทศรวมทั้งสหราชอาณาจักร เดนมาร์ก ฟินแลนด์ นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ฝรั่งเศส สเปน ไนจีเรีย กานา จอร์แดน ญี่ปุ่น สิงค์โปร์ ออสเตรเลีย แคนาดา เยอรมนี อิตาลี สโลวีเนีย ออสเตรีย มาเลเซีย สวิตเซอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ และสหรัฐ[105][106][107][37][108][109][110]และยังพบในแคว้นจังหวัดโพ้นทะเลของฝรั่งเศสคือ มายอต อีกด้วย[105]

กรณีแรก ๆ พบในเดือนธันวาคม 2020 ในสหราชอาณาจักรและไนจีเรีย และจนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ก็เป็นสายพันธุ์ที่พบมากสุดในไนจีเรีย[37]ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ได้พบกรณีคนติดสายพันธุ์นี้ 56 คนในสหราชอาณาจักร[9]เดนมาร์กเป็นประเทศที่ถอดลำดับยีนของคนไข้โควิดทั้งหมด และได้พบกรณีสายพันธุ์นี้ 113 กรณีระหว่างวันที่ 14 มค. - 21 กพ. โดยมี 7 กรณีที่เกี่ยวกับการเดินทางไปยังประเทศไนจีเรีย[106]ผู้เชี่ยวชาญในสหราชอาณาจักรกำลังศึกษาเพื่อให้ชัดเจนว่ามันเสี่ยงแค่ไหนจนถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ สายพันธุ์ยังจัดว่า กำลังตรวจสอบ (VUI) แต่อาจปรับเป็นสายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วง (VOC) เมื่อได้ข้อมูลเพิ่มนักจุลชีววิทยาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ระบุว่า สายพันธุ์นี้ดูเหมือนจะมีการกลายพันธุ์สำคัญ ๆ เหมือนกับที่เห็นในสายพันธุ์ใหม่ ๆ บางชนิด ซึ่งอาจจะดีเพราะผลการกลายพันธุ์อาจพยากรณ์ได้ง่ายกว่า[36]

สายพันธุ์ B.1.526

ในเดือนพฤศจิกายน 2020 พบสายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ในนครนิวยอร์กซึ่งเรียกว่า B.1.526[111]จนถึงวันที่ 11 เมษายน 2021 ได้พบแล้วในมลรัฐ 48 รัฐในสหรัฐและประเทศอื่น ๆ ถึง 18 ประเทศแต่ก็เหมือนกับสายพันธุ์ B.1.429 ที่พบในแคลิฟอร์เนีย คือสายพันธุ์นี้ถึงแม้จะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับหนึ่งในมลรัฐบางรัฐ แต่ในฤดูใบไม้ผลิของปี 2021 สายพันธุ์ B.1.1.7 ก็เกิดมากกว่าแล้ว[103]

สายพันธุ์ B.1.617

ในเดือนตุลาคม 2020 อินเดียได้พบสายพันธุ์ใหม่ คือ B.1.617 โดยเจอน้อยมากจนกระทั่งเดือนมกราคม 2021 แต่ภายในเดือนเมษายน ก็กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ อย่างน้อย 20 ประเทศแล้ว[112][113][114]และในต้นเดือนพฤษภาคม ก็พบแล้วในประเทศ 50 ประเทศในทุกทวีปยกเว้นแอนตาร์ติกา[115]ในบรรดาการกลายพันธุ์ 15 ชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ มันมีการกลายพันธุ์ของโปรตีนหนามชนิด D111D (แบบ synonymous substitution), G142D[116],P681R, E484Q[117]และ L452R[118]โดยสองอย่างหลังอาจทำให้ไวรัสหลบแอนติบอดีได้ง่าย[119]ในวันที่ 15 เมษายน 2021 พีเอชอีจัด B.1.617 ให้เป็นสายพันธุ์ที่กำลังตรวจสอบ คือ VUI-21APR-01[120]

สายพันธุ์ B.1.617.2 (VUI-21APR-02)

ในวันที่ 29 เมษายน 2021 พีเอชอีได้เพิ่มสายพันธุ์อีกสองอย่างคือ VUI-21APR-02 และ VUI-21APR-03 ซึ่งก็คือ B.1.617.2 และ B.1.617.3[121]แล้วประกาศ B.1.617.2 (ซึ่งไม่มีการกลายพันธุ์แบบ E484Q เป็นจุดเด่น) ว่าเป็นสายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วง (VOC) หลังพบหลักฐานว่า มักติดต่อได้เร็วกว่าไวรัสดั้งเดิม[122][123]

สายพันธุ์ B.1.618

สายพันธุ์นี้พบเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2020มีการกลายพันธุ์ E484K ซึ่งเหมือนกับสายพันธุ์ B.1.351กำลังขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วในรัฐเบงกอลตะวันตก (อินเดีย)[124][125]จนถึงวันที่ 23 เมษายน 2021 ฐานข้อมูล CoV-Lineages แสดงการถอดลำดับยีนตัวอย่างสายพันธุ์นี้ 135 ครั้งในอินเดีย โดยประเทศอื่น ๆ อีก 8 ประเทศทั่วโลกถอดลำดับยีนตัวอย่างไม่ถึง 10 ครั้ง[126]

สายพันธุ์ B.1.620

ในเดือนมีนาคม 2021 ประเทศลิทัวเนียได้ตรวจพบสายพันธุ์ B.1.620 เป็นครั้งแรก[ต้องการอ้างอิง]จนถึงวันที่ 20 เมษายน นักวิทยาศาสตร์รู้แล้วว่า สายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์ E484K[127]

สายพันธุ์ P.1

พีเอชอีระบุสายพันธุ์ P.1 ว่าน่าเป็นห่วงโดยตั้งชื่อว่า VOC 21JAN-02[9](เดิม VOC-202101/02)[9]ส่วนเน็กซต์สเตรน[upper-alpha 4] ตั้งชื่อมันว่า 20J/501Y.V3[8]สถาบันโรคติดต่อแห่งชาติญี่ปุ่น (NIID) ตรวจพบมันเป็นครั้งแรกในนครโตเกียวในวันที่ 6 มกราคม 2021จากผู้เดินทางมาจากรัฐอามาโซนัส (บราซิล) 4 คน[128]ในวันที่ 12 มกราคม 2021 ศูนย์ Brazil-UK CADDE Centre ในบราซิลยืนยันว่า มีสายพันธุ์ P.1 ในพื้นที่ที่พบในป่าดิบชื้นแอมะซอน[129]สายพันธุ์นี้ตั้งชื่อว่า P.1 แม้จะมีบรรพบุรุษเป็น B.1.1.28 แต่เพราะตั้งเป็น B.1.1.28.1 ไม่ได้ (ตามกฎระบบการตั้งชื่อ) จึงตั้งเป็นชื่อนี้ มันมีกรดอะมิโนที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะ ๆ 17 อย่างโดย 10 อย่างอยู่ในโปรตีนหนาม รวมทั้งการกลายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วงคือ N501Y, E484K และ K417T.[129][130][131][132]:Figure 5

เพราะการกลายพันธุ์ N501Y และ E484K มักก่อ RBD-hACE2 complex ที่เสถียร ดังนั้นจึงเพิ่มสัมพรรคภาพการจับของ RBD เข้ากับ hACE2ในนัยตรงข้าม การกลายพันธุ์ K417T มักไม่ก่อการจับกันระหว่าง RBD กับ hACE2 โดยได้พิสูจน์แล้วว่า ลดสัมพรรคภาพการจับของ RBD กับ hACE2[1]

สายพันธุ์นี้ไม่พบในเมืองมาเนาส์ (รัฐอามาโซนัส) ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤศจิกายน 2020 แต่พบในตัวอย่างร้อยละ 42 ระหว่างวันที่ 15-23 ธค., ร้อยละ 52.2 ระหว่าง 15-31 ธค. และร้อยละ 85.4 ระหว่าง 1-9 มกราคม 2021[129]งานศึกษาในบราซิลอีกงานระบุสายพันธุ์ลูกหลานของ B.1.1.28 อีกสายที่ติดต่ออยู่ในรัฐรีโอเดจาเนโร ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า สายพันธุ์ P.2[133]ซึ่งมีการกลายพันธุ์ E484K แต่ไม่มี N501Y และ K417T[132]โดยวิวัฒนาการขึ้นต่างหากและไม่สัมพันธ์กับสายพันธุ์ P.1 จากมาเนาส์โดยตรง[129]

งานศึกษาหนึ่งพบว่า การติดเชื้อ P.1 อาจสร้างจำนวนไวรัสเกือบ 10 เท่าเทียบกับสายพันธุ์บราซิลอื่น ๆ คือ B.1.1.28 หรือ B.1.195โดยติดต่อได้ง่ายกว่า 2.2 เท่า ติดได้ทั้งผู้ใหญ่และคนชรา ซึ่งแสดงว่า ทำให้มนุษย์ที่อายุน้อยกว่าติดได้มากกว่าไม่ว่าจะเป็นเพศไหน[134]

งานศึกษาตัวอย่างที่ได้จากเมืองมาเนาส์ระหว่างเดือน พย. 2020 - มค. 2021 แสดงว่า สายพันธุ์ P.1 ติดต่อได้ง่ายกว่าง 1.4-2.2 เท่า และพบว่าหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดโรคไวรัสโคโรนาไวรัสก่อน ๆ ได้ร้อยละ 25-61 ทำให้มีโอกาสติดเชื้ออีกแม้หลังติดโรคโควิดมาก่อนแล้วP.1 ยังทำให้ถึงตายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-80[135][136][34]

งานศึกษาหนึ่งพบว่า คนที่ได้วัคซีนของไฟเซอร์และของโมเดอร์นาอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็ยังมีแอนติบอดีกำจัดฤทธิ์ที่ต่อต้าน P.1 ได้ลดลง แม้ผลต่อการดำเนินของโรคจะยังไม่ชัดเจน[137]งานศึกษาที่ยังไม่ได้ทบทวนโดยผู้รู้เสมอกันในต้นเดือนเมษายน 2021 พบว่า ในสถานการณ์จริง ๆ วัคซีนของซิโนแวคโดสแรกมีประสิทธิศักย์ร้อยละ 50โดยคาดว่า จะสูงขึ้นเมื่อได้โดสที่สองงานศึกษานี้ยังดำเนินไปอยู่[138]

ข้อมูลเบื้องต้นจากงานศึกษาสองงานระบุว่า วัคซีนของแอสตราเซเนกายังมีประสิทธิผลต่อสายพันธุ์ P.1 แม้ระดับประสิทธิศักย์ที่แน่นอนจะยังไม่ได้ตีพิมพ์[139][140]ข้อมูลเบื้องต้นจากงานศึกษาที่สถาบันวิจัยบราซิลคือ Instituto Butantan เป็นผู้ดำเนินการแสดงนัยว่า วัคซีนของซิโนแวคก็มีประสิทธิผลต่อต้านสายพันธุ์นี้เช่นกัน โดยสถาบันจะขยายงานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่นอน[141]

สายพันธุ์ P.3

ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2021 กระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ได้ตรวจพบการกลายพันธุ์ 2 ชนิดในเขตกิตนางคาบีซายาอันซึ่งต่อมาตั้งชื่อเป็น E484K และ N501Y และตรวจพบในตัวอย่าง 37 ตัวอย่างจาก 50 ตัวอย่าง โดยมีการกลายพันธุ์ทั้งสองในตัวอย่าง 29 ตัวอย่างยังไม่มีชื่อทางการสำหรับสายพันธุ์ต่าง ๆ เหล่านี้ และก็ยังไม่ได้ถอดลำดับยีนทั้งหมด[142]

ในวันที่ 13 มีนาคม กระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ได้ยืนยันการกลายพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสายพันธุ์ซึ่งตั้งชื่อว่า P.3[143]ในวันเดียวกัน ก็ยืนยันว่าพบสายพันธุ์ P.1 เป็นตัวอย่างแรกในประเทศแม้สายพันธุ์ P.1 และ P.3 จะสืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน คือ B.1.1.28 แต่กระทรวงก็กล่าวว่า ผลของ P.3 ต่อประสิทธิศักย์ของวัคซีนและการติดต่อของโรคยังไม่ชัดเจนจนถึงวันที่ 23 มีนาคม ฟิลิปปินส์มีกรณีคนติดเชื้อนี้แล้ว 98 ราย[144]

ในวันที่ 12 มีนาคม ญี่ปุ่นก็พบว่ามีคนติดเชื้อนี้แล้วเหมือนกัน[145][146]ในวันที่ 17 มีนาคม สหราชอาณาจักรก็ได้ยืนยันว่าเกิดคนติดเชื้อ 2 คนแรกแล้ว[147]ซึ่งพีเอชอีกำหนดสายพันธุ์เป็น VUI-21MAR-02[9]ในวันที่ 30 เมษายน 2021 มาเลเซียตรวจพบการติดเชื้อนี้ 8 รายในรัฐซาราวัก[148]